Power BI เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างรายงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่การใช้งานให้ “เร็วกว่า ดีกว่า” นั้น ต้องอาศัยเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม

บทความนี้จะมาแนะนำ Tips Power BI ที่คุณต้องรู้ เพื่อนำไปใช้ เพื่อยกระดับการทำงานให้เหมือนมืออาชีพตัวจริง
1. ตั้งชื่อ Field และ Table ให้ชัดเจน
การตั้งชื่อ Field (คอลัมน์) และ Table (ตาราง) เป็นเรื่องที่หลายคนมักมองข้าม โดยปล่อยให้ใช้ชื่อเริ่มต้นเช่น Column1
, Table1
อยู่ ซึ่งทำให้:
- ทำงานต่อยาก เพราะต้องคอยเปิดดูข้อมูลจริง
- สร้างความสับสนเมื่อต้องเขียนสูตร DAX
- ส่งต่องานให้คนอื่นยาก เพราะไม่เข้าใจเนื้อหาข้อมูล
การตั้งชื่ออย่างชัดเจน เช่น SalesAmount
, OrderDate
, CustomerName
ช่วยให้เข้าใจข้อมูลได้ทันที และยังทำให้ Report มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม: ใช้รูปแบบการตั้งชื่อให้สม่ำเสมอ เช่น ใช้ underscore (_
) หรือ camelCase ตลอดทั้งโปรเจกต์ เช่น employeeStartDate , orderDetails
2. ใช้ Reference Query แทน Duplicate Query
ในขั้นตอนการเตรียมข้อมูลด้วย Power Query หลายคนมักใช้การ Duplicate Query เพื่อสร้างสำเนาข้อมูล แต่การทำแบบนี้จะกินหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำเป็น เพราะระบบต้องคัดลอกข้อมูลทั้งหมดอีกรอบ
ทางที่ดีกว่าคือ การใช้ Reference Query
ซึ่งจะสร้าง Query ใหม่ที่อ้างอิงข้อมูลจากต้นฉบับโดยตรง ทำให้:
- ประหยัดหน่วยความจำ
- ลดภาระการ Refresh ข้อมูล
- อัปเดตง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นทาง
วิธีการใช้งาน: คลิกขวาที่ Query ที่ต้องการ → เลือก “Reference”
3. ตั้ง Data Type ให้เรียบร้อยใน Power Query
การกำหนดประเภทข้อมูล (Data Type) อย่างถูกต้องใน Power Query เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมองข้าม การปล่อยให้ระบบเดาเองอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น:
- เขียนสูตรแล้วเกิด Error
- การเชื่อมต่อข้อมูลผิดพลาด
- การแสดงผลข้อมูลผิดประเภท เช่น ตัวเลขกลายเป็นข้อความ
ควรกำหนดประเภทข้อมูลให้เหมาะสม เช่น:
- ตัวเลข ➔ Decimal Number
- วันที่ ➔ Date
- รหัสหรือหมวดหมู่ ➔ Text
นอกจากลดปัญหาข้างต้นแล้ว ยังช่วยให้โมเดลข้อมูลมีขนาดเล็กลง และทำงานได้เร็วขึ้นอีกด้วย
4. วางโครงสร้าง Data Model แบบ Star Schema
การออกแบบ Data Model เป็นหัวใจสำคัญในการทำ Power BI ให้เร็วและเสถียร โดยรูปแบบที่แนะนำคือ Star Schema ซึ่งหมายถึง:
- มี Fact Table กลาง (ข้อมูลหลัก เช่น Sales, Transaction)
- ล้อมรอบด้วย Dimension Table (ข้อมูลอ้างอิง เช่น Customer, Product, Date)
ข้อดีของการใช้ Star Schema คือ:
- เร่งความเร็วในการประมวลผลข้อมูล
- ลดความซับซ้อนของโมเดล
- ช่วยให้เขียน DAX Formula ได้ง่ายและตรงประเด็น
- ลดโอกาสเกิดปัญหา Relationship Loop หรือ Ambiguity
การจัด Data Model ให้สะอาดตั้งแต่ต้น จะช่วยประหยัดเวลาทำงานในระยะยาวมหาศาล
5. ใช้ Measure แทนการสร้าง Calculated Column ถ้าเป็นไปได้
Power BI เปิดโอกาสให้สร้างข้อมูลคำนวณใหม่ได้ 2 แบบ คือ:
- Calculated Column: คอลัมน์ใหม่ที่คำนวณและเก็บไว้ใน Table
- Measure: สูตรคำนวณแบบ Dynamic ไม่มีการเพิ่มคอลัมน์จริง
หากเลือกได้ ควรใช้ Measure มากกว่า เพราะ:
- ไม่เพิ่มขนาดไฟล์ .pbix
- ประมวลผลเฉพาะเวลาที่ต้องใช้ ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น
- ลดภาระในการ Refresh ข้อมูล
การสร้าง Calculated Column ควรทำเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น ต้องใช้ข้อมูลนั้นในการสร้าง Relationship หรือเป็นตัวกรองใน Report เท่านั้น
สามารถเข้าไปดูบทความอื่นๆ ได้ที่: https://rdbi.co.th/blog/
ปรึกษาหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
เพจ: http://bit.ly/rdbipage
Facebook: https://www.facebook.com/RandDBI/
Line OA: @rdbi
Tel: 02-681-9700
อีเมล์: sales@rdbi.co.th🌟